วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2551

36 แผนที่ชีวิตของพ่อ

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


1.ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ
2.อย่าสวดมนต์เพื่อสิ่งใดนอกจาก ปัญญา และ ความกล้าหาญ
3.เพื่อนใหม่ คือ ของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วนเพื่อนเก่า / มิตร คือ อัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า
4.อ่านหนังสือธรรมะ ปีละเล่ม
5.ปฎิบัติต่อคนอื่น เช่นเดียวกับที่เราต้องการให้คนอื่นปฎิบัติต่อเรา
6.พูดคำว่า ขอบคุณ ให้มากๆ
7.รักษา ความลับ ให้เป็น
8.ประเมินคุณค่าของการให้ อภัย ให้สูง
9.ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
10.ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิและรู้แก่ใจว่า เป็นจริง
11.หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่
12.เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนัก คิดเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
13.อย่าถกเถียงธุระกิจภายในลิฟท์
14.ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน
15.อย่าหยิ่งหากจะกล่าวว่า ขอโทษ
16.อย่าอาย หากจะบอกใครว่า ไม่รู้
17.ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอน มันไม่ราบรื้นตลอดทาง
18.ไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป
19.การประหยัด เป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท
20.คนไม่รักเงิน คือ คนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต
21.ยามทะเลาะกัน ผู้เงียบก่อน คือ ผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี
22.ชีวิตนี้ ฉันไม่เคยทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด
23.จงอย่าให้จุดแข็ง เอาชนะจุดอ่อน
24.เป็นหน้าที่ของเราที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด
25.เหรียญเดียวมี 2 หน้า ความสำเร็จ กับความล้มเหลว
26.อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆเกิดขึ้น ล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น
27.ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
28.อย่าดึงต้นกล้าให้โตไวๆ ( อย่าใจร้อน )
29.ระลึกถึงความตายวันละ 3 ครั้ง ชีวิตจะมีสุข มีอภัย มีให้
30.ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อไปก็ผิดหมด
31.ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดเวลาแล้วเสร็จ
32.จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด
33.ดาวและเดือนที่อยู่สูงอยากได้ต้อง ปีนบันไดสูง
34. มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
35.หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม
36.ระเบียบวินัย คือ คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต


วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2551

Papier

On peut appeler "papier" tout ce qui est constitué de fibres de celluloses en majorité, donc d'origine végétale, mises en suspension dans de l'eau puis égouttées sur une surface plane. Quel que soit le procédé employé, que ce soit propre ou sale, fin ou grossier, qu'il n'y ait que de la cellulose ou d'autres matières ajoutées (laine, soie,...), c'est la mise en suspension dans l'eau des fibres et leur égouttage qui permettent de constituer le papier.
On utilise souvent l'image de la guêpe qui confectionne son nid en recrachant de la cellulose malaxée. Même si l'idée de fabriquer du papier n'a sûrement rien à voir avec cette activité. Avant l'apparition du papier, les écrits étaient conservés sur des parchemins ou du papyrus et sur toutes sortes de surfaces (écorces écailles, feuilles d'arbres, planchettes plus ou moins fines).
Les tapas (feutre végétal fait du liber de certaines écorces battues et assemblées[1]) dont on connaît l'utilisation à travers les représentations sur des parois rocheuses et dans des grottes dans le monde entier, utilisés sous forme de vêtements, de parures, peuvent être considérés comme les tous premiers ancêtres du papier.
Le papier porteur d'un message le plus ancien connu à ce jour, découvert en Chine, serait daté de -8, sous la dynastie des Han de l'Ouest (-206, 25). Il s'agit d'un fragment de lettre dont le papier est fait à partir de fibres de lin, sur laquelle une vingtaine de sinogrammes anciens ont été déchiffrés. Il a été trouvé en 2006 à Dunhuang, dans la province du Gansu, et a été daté en fonction d'autres documents écrits trouvés au même endroit de la fouille. [1]
D'après une tradition chinoise, on pensait que le papier était apparu au IIIe siècle av. J.-C. en Chine, sous le règne de Qin Shi Huang (fondateur de la dynastie Qin). Une histoire racontait que des personnes auraient alors repéré les dépôts blancs d'écume sur les rochers à la suite des crues et auraient tenté de le reproduire.
D'après une autre tradition chinoise, ce serait Cai Lun, ministre de l'agriculture qui, en 105, aurait codifié pour la première fois l'art de fabriquer du papier et en aurait amélioré la technique afin de le produire en masse.

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2551

Bear







Bears (family Ursidae) are mammals in the order Carnivora. Bears are classified as caniforms, or doglike carnivorans, with the pinnipeds being their closest living relatives. Although there are only eight living species of bear, they are widespread, appearing in a wide variety of habitats throughout the Northern Hemisphere and partially in the Southern Hemisphere.
Common characteristics of modern bears include a large body with stocky legs, a long snout, shaggy hair, plantigrade paws with five nonretractile claws, and a short tail. While the polar bear is mostly carnivorous and the giant panda feeds almost entirely on bamboo, the remaining six species are omnivorous, with largely varied diets including both plants and animals.
With the exceptions of courting individuals and mothers with their young, bears are typically solitary animals. They are sometimes diurnal, but are usually active during the night (nocturnal) or twilight (crepuscular). Bears are aided by an excellent sense of smell, and despite their heavy build and awkward gait, they can run quickly and are adept climbers and swimmers. Bears use shelters such as caves and burrows as their dens, which are occupied by most species during the winter for a long period of sleep similar to hibernation.
Bears have been hunted since prehistoric times for their meat and fur. To this day, they play a prominent role in the arts, mythology, and other cultural aspects of various human societies. In modern times, the bear's existence has been pressured through the encroachment of their habitats and the illegal trade of bears and bear parts, including the Asian bile bear market. The IUCN lists six bear species as vulnerable or endangered, and even "least concern" species such as the brown bear are at risk of extirpation in certain countries. The poaching and international trade of these most threatened populations is prohibited, but still ongoing.

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551

ปิดเทอมแล้ว

ปิดเทอมแล้ว

เป็นไงบ้างเพื่อนๆๆๆเราคิดถึงเพื่อนๆๆ
อยากเจอกันเร็วๆๆๆๆๆๆจัง

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2551

รักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่ง



ใครที่มีอาการท้องเสียบ่อย ๆ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีรักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่งมาบอกกัน....
วิธีทำ
- นำใบฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด ประมาณ 10-15 ใบ แล้วโขลกพอแหลก ใส่น้ำ 1 แก้วใหญ่ นำไปต้มใส่เกลือ พอเดือดยกลงนำมาดื่มแทนชา ได้ผลดี
- นำผลฝรั่งอ่อน ๆ มาฝานเอาแต่เปลือกกับเนื้อเท่านั้น เมล็ดทิ้งไป ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วกินรวมกัน หรือจะใช้ต้มดื่มเป็นน้ำฝรั่งก็ได้
- นำใบฝรั่งสดที่ไม่อ่อน และไม่แก่เกินไป มาตัดหัวตัดท้าย แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ ตักน้ำที่ได้จากการแช่ใบฝรั่ง มาจิบทีละนิด อย่าจิบมากจะทำให้ท้องผูกได้








วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

วิธีแก้....ตาแดง



ใครที่ต้องทำงานในห้องแอร์ และอยู่กับคอมพิวเตอร์นาน ๆ อาจทำให้แสบตาหรือตาแดงได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีแก้มาฝากกัน...


ความเย็นจากแอร์และรังสีจากจอคอมพิวเตอร์จะทำให้น้ำที่หล่อเลี้ยงดวงตาแห้งได้ จึงก่อให้เกิดอาการระคายเคือง แสบตา และตาแดงได้


วิธีแก้ คือ
ควรดื่มน้ำหรือชาสมุนไพรให้ได้วันละ 3 ลิตร และอาจใช้น้ำตาเทียมช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา แต่ทางที่ดีที่สุดคือควรให้แพทย์ตรวจและเป็นผู้สั่งยาหยอดตาให้

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ผลไม้ล้างพิษ

ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องเลือกรับประทาน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกายแล้วย่อมมีผลตามมาทั้งสิ้น อาหารชนิดเดียวกันบางครั้งก็มีทั้งคุณทั้งโทษ และวันนี้เราจะมาแนะนำผลไม้ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดและที่สำคัญยังสามารถล้างพิษในร่างกายเราได้อีกด้วยนะคะ

แอปเปิ้ล : เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า

แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วยค่ะ


องุ่น : เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดม ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย


สับปะรด : มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น

เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูก


มะละกอ มะม่วง แตงโม : มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร

ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ

ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน