วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2550

...วิธีคลายเครียด...






"10 วิธีในการคลายความเครียด"
1. ฟังเพลง หามุมสงบ นั่งปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วฟังเพลง เบา ๆ โดยเฉพาะเพลงจำพวก Meditation ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลายแบบตามความต้องการ ทั้งเสียงของดนตรี บรรเลงหรือเสียงธรรมชาติ จำพวกเสียงคลื่น..เสียงน้ำตก..เสียงนกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคื่นสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ เชียวล่ะ
2. ฉายเดี่ยวดูภาพยนตร์ ขอแนะนำให้ฉายเดี่ยวแล้วตีตั๋วดูหนังดีๆ สักรอบ เพราะการไปดูหนังเนี่ยเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุดที่จะปลดปล่อยความรู้สึกให้ ล่องลอยอย่างเป็นอิสระไม่จมอยู่กับปัญหา แถมระบายความอัดอั้นตันใจได้อย่างเห็นผล แต่ต้องถามตัวเองก่อนนะว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เช่น ถ้าอยากร้องไห้ก็ไปดูหนังรักเศร้าเคล้าน้ำตาแล้วก็ร้องไห้ออกมาซะให้พอ หรือถ้าเครียดจัดก็จงไปดูหนังตลกแล้วหัวเราะให้หลุดโลกไปเลย
3. โทรหาเพื่อนรู้ใจ อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้ดีไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งเพียงใดก็ยังต้องการที่พึ่งพิงเสมอ ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสันคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ เพราะการมีคนรับฟังและให้คำปรึกษา จะทำให้ชีวิตที่เอียงกะเท่เร่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า ไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลกไงล่ะ
4. เขียนไดอารี่ การเขียนไดอารี่เปรียบเสมือนการเปิดประตูอารมณ์ที่ปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจต่างๆ ได้ไหลลงสู่หน้ากระดาษอย่างเป็นอิสระและเป็นส่วนตัวที่สุด เพราะการถ่ายเทความรู้สึกในใจออกมา จะทำให้จิตใจปรับสมดุลได้เร็วขื้น อีกทั้งระหว่างการเขียนไดอารี่นั้นยังถือเป็นการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ดี ที่สุดด้วย ส่วนข้อดีสุดเลิศอีกข้อก็คือ ไดอารี่เป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ที่สุด เพราะรับฟังเราเสมอและไม่เคยเอาความลับไปบอกต่อไงล่ะ
5. พลังแห่งการสัมผัส ลองมองหาใครสักคนช่วยโอบกอดหรือสัมผัสเบา ๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าดูสิ เพราะร่างกายคนเราเวลาถูกสัมผัสเนี่ย จะทำให้เกิดฮอร์โมนที่ชื่อ "อ๊อกซี่โทชิน" ซึ่งมีผลในการลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ช่วยให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
6. สร้างอารมณ์ขัน พยายามมองหาเพื่อนที่มีอารมณ์ขันช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง เพราะคนที่หัวเราะง่ายจะมีสุขภาพจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลง (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด) แถมยังช่วยเสริมสร้างระดับของ "อิมโมโนโกลบูลินเอ" ซึ่งเป็นสารแอนตี้บอดี้ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกด้วยนะ เพราะฉะนั้นหัวเราะเข้าไว้ แล้วจะดีเอง
7. สูดกลิ่นหอมรู้หรือเปล่าว่า...กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มีผลในการช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียด ๆ ก็ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้สิ อย่างกลิ่นกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยในน้ำอุ่นกำลังดี แล้วนอนแช่ตัวให้เพลินสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ กลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเชียวล่ะ
8. ไปตากอากาศ หาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับชีวิตท่ามกลางธรรมชาติสักพัก สิ หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด แล้วก็นอนให้มากที่สุดเท่าที่อยากจะนอน เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่แบบไม่ทราบสาเหตุเนี่ยมันมาจาก ชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป เพราะฉะนั้นหลบไปนอนตากน้ำค้างดูดาวเสียบ้าง หัวใจจะได้ชาร์จพลังได้ดีขึ้น
9. หาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน ลองหาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาเป็นเพื่อนเล่นก็ไม่ เลวนะ เพราะการให้เวลากับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด คุยเล่น หยอกล้อกับมันเสียบ้าง จะช่วยให้จิตใจอันแสนจะฟุ้งซ่าน สงบลงได้ แถมรู้จักการให้และมองโลกในแง่ดีมากขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญยังช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วยนะ
10. จินตนาการแสนสุข อีกทางเลือกสำหรับการบรรเทาความหดหู่ในส่วนลึก เป็นการดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน ทำได้โดยหลับตาแล้วหายใจลึก ๆ จากนั้นก็สร้างจินตนาการถึงความฝันที่วาดหวังเอาไว้ หรือแม้แต่ความหลังอันแสนสุขที่เคยมีการดึงความสุขจากจินตนาการมาใช้จะ ทำ ให้เกิดพลังสร้างสรรค์ในหัวใจ และยังช่วยสลายความเครียดข้างในได้เป็นอย่างดี ทำแบบนี้เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองรู้สึกดีแบบทันตาเห็น











วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2550

Ours blanc


L'ours blanc ou ours polaire (Ursus maritimus ou Thalassarctos maritimus) est un grand mammifère originaire des régions arctiques. C'est d'ailleurs le plus grand des carnivores terrestres et figure au sommet de sa pyramide alimentaire.
Parfaitement adapté à son habitat, il possède une épaisse couche de graisse ainsi qu'une fourrure qui l'isolent du froid, la couleur blanche de son pelage lui assure un camouflage idéal sur la banquise et sa peau noire lui permet de mieux conserver sa chaleur corporelle. Pourvu d'une courte queue et de petites oreilles, l'ours possède une relativement petite tête fuselée et un corps long adaptés à la natation.
L'ours polaire est un mammifère marin semi-aquatique, dont la survie dépend essentiellement de la banquise et de la productivité marine. Il chasse aussi bien sur terre que dans l'eau.

งิ๊บงิ๊ว --- ^ ^


วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2550

PAWAT......N..O..K..I..A..*-*


ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ภาพของนักธุรกิจเช็คอีเมล์ เด็กวัยรุ่น
ฟังเพลง MP3 สาวอินเทรนด์ท่องเว็ปช๊อปปิ้งโดยทุกอย่างนี้ทำได้โดยตรงจากโทร
ศัพท์มือถือ ดูแล้วอาจจะเหมือนภาพของภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง
แต่ในวันนี้กลับเป็นเรื่องที่แสนธรรมดา และสิ่งเหล่านี้พัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็วส่วน
หนึ่งจากฝีมือของผู้นำทางด้านโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่...โนเกีย

ทุกวันนี้ สโลแกน "Connecting People" ได้เปิด
ประตูสู่โลกของโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไร้สายให้แก่โนเกียอย่างแท้จริง ไม่มีใครไม่
รู้จักบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าของสโลแกนนี้กับโทรศัพท์มือถือประทับแบรนด์โนเกียที่หลาย ๆ
คนกำลังถืออยู่ในมือ แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ถึงความเป็นมาของโนเกียนั้นเป็นอย่างไร ก่อน
ที่จะเป็นบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือยอดนิยมที่ติดอันดับขายดีที่สุดของโลกอย่างเช่นในทุก
วันนี้นั้น เชื่อหรือไม่ว่าโนเกียเคยเป็นโรงงานผลิตกระดาษ ยางไม้ และสายเคเบิ้ลมาก่อน
ลองมาทำความรู้จักกับอุปกรณ์สื่อสารที่คุณถืออยู่ในมือให้มากยิ่งขึ้นกันดีกว่า
กำเนิดโนเกีย

โนเกียไม่ได้เริ่มธุรกิจด้านอิเล็กทรอนิคเป็นพื้นฐานอย่างแรกของบริษัท
แต่ได้เปิดบันทึกหน้าแรกของประวัติาศาสตร์ด้วยการเป็นผู้ผลิตเยื่อกระดาษ โดยมีวิศวกร
Fredrik Idestam เป็นเจ้าของ

ย้อนเวลากลับไปยังปี ค.ศ. 1865บริษัทโนเกียได้ก่อตั้งขึ้นบนริม
ฝั่งแม่น้ำ Nokia (โนเกีย) แม่น้ำสายใหญ่ในประเทศฟินแลนด์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่
อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ และทะเลสาบนับว่าเป็นดินแดนที่เหมาะสมอย่างมากในการ
ทำธุรกิจเยื่อกระดาษในย่านนี้ และกลายมาเป็นโรงงานผู้ผลิตเยื่อกระดาษรายใหญ่ที่เติบ
โตอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่ Idestam ยังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอใน
การทำงานด้านธุรกิจ จึงจำเป็นต้องหยิบยืมเทคโนโลยีมาจากประเทศเยอรมันในปี
1866 แต่นั่นก็ช่วยทำให้เขาพัฒนาบริษัทขึ้น

ต่อมาในปี 1867 นวัตกรรมที่ Idestam คิดค้นขึ้นก็ได้
ชนะรางวัลเหรียญทองแดง ในงาน Paris Wood Exposition
ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นับแต่วันนั้นมา ชื่อของโนเกียได้กลายมาเป็นที่รู้จัก โนเกีย
จึงได้ฉวยโอกาสนี้ประทับแบรนด์ของเขาบนผลิตภัณฑ์ทุกชนิด สร้างชื่อเสียงได้มากขึ้น
จนกระทั่งเครื่องผลิตกระดาษได้เข้ามามีบทบาทในการผลิตเยื่อไม้ในปี 1880 และ
ได้มาเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของโนเกีย จนเรียกได้ว่าร้อยละ 80 ของผลิตภัณฑ์นั้น
คือ กระดาษห่อสีน้ำตาล รวมไปถึงวอลเปเปอร์สี

ต่อมาในปี 1902 Idestam ได้ขยายธุรกิจจากโรงงาน
กระดาษมาสู่ธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจกระดาษที่ทำอยู่มีการใช้
พลังงานไฟฟ้าค่อนข้างมาก จึงได้ตัดสินใจสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขึ้นเองในปี 1903
แต่แล้วในช่วงสงครวมโลกครั้งที่ 1 มรสุมใหญ่ก็ผ่านเข้ามา ธุรกิจส่งออกกระดาษ
ของโนเกียได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจนประสบภาวะาขาดทุนอย่างรุนแรง แต่
ในขณะเดียวกันนั่นเองธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้ากลับเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะการ
ใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นมากในประเทศฟินแลนด์ ทำให้ช่วยพยุงกิจการด้าน
กระดาษที่ขาดทุนอย่างสูงไว้ได้ในระดับหนึ่ง

และในปี 1918 บริษัท Finnish Rubber Works
(FRW) ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำผลิตภัณฑ์ยางในประเทศฟินแลนด์ และเป็นหนึ่งในลูก
ค้ารายสำคัญของโรงงานผลิตไฟฟ้าของโนเกียได้มาเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของโนเกีย
หลังจากที่โนเกียไม่สามารถรองรับการขาดทุนของธุรกิจได้ จนต้องตกไปเป็นส่วน
หนึ่งของบริษัท FRW แทน

จากนั้นในปี 1922 บริษัท Cable Works ซึ่งดำเนิน
ธุรกิจด้านสายเคเบิ้ล และสายโทรศัพท์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Nokia group
จากความสนใจของบริษัท FRW แม้จะมีความหลากหลายของธุรกิจที่รวมเข้าด้วยกัน
แต่โนเกียก็ยังคงผลิตสินค้าออกมาทั้ง 3 ประเภท คือกระดาษ ผลิตภัณฑ์ยาง (รองเท้าายาง
ยางรถยนต์) และสายเคเบิ้ล โดยสินค้าทั้งหมดออกจำหน่ายในนามของโนเกีย


ยุคของอิเล็กทรอนิคกับโนเกียได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในปี 1977 ภายใต้
การดูแลของ Kari Kairamo ประธานบริษัท ซึ่งได้เรียนรู้ประสบการณ์จาก
การทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกา แตกต่างจากรุ่นก่อน หน้านี้ที่จะมีหัวไปทางรัสเซีย
โดยผลิตสินค้าส่งออก คือ สายไปเคเบิ้ล ให้กับ ประเทศรัสเซีย Kairamo นำแนว
คิดแบบตะวันตก และแหวกแนวมาประยุกต์มุ่งเน้นให้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิคให้เข้ากับ
ยุคแห่งพลังงานจนกลายมาเป็นธุรกิจหลักของโนเกียในยุคนี้เป็นต้นมา โดยผลิตโทรทัศน์
และคอมพิวเตอร์ออกมาเบิกทางในตลาด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับการติดอันดับ
ผู้ผลิตโทรทัศน์รายใหญ่ที่สุด เป็นอันดับที่ 3 ของยุโรปเลยทีเดียว

ก้าวมาสู่ยุคแห่งการสื่อสารไร้สายในการนำของรองประธานกรรมการ
อาวุโส และกรรมการบริหารการเงิน Jorma Ollila ซึ่งดำรงตำแหน่ง
ประธานตั้งแต่ปี 1992 - 1999 และ CEO ของโนเกียในปี 1999 จน
ตราบถึงทุกวันนี้ ด้วยแนวคิดของ Ollila ภายใต้การดูแลของ Kairamo
นั้น โนเกียกับโทรศัพท์มือถือจึงได้ถือกำเนิดขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2550